วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ไวรัสเมอร์สตัวร้าย

โรคเมอร์ส (MERS) Middle East Respiratory syndrome


>>ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสเมอร์สที่ต้องรู้จักก่อนเป็นเหยื่อ<<






          ไวรัสเมอร์ส  ไวรัสชนิดนี้ต้นกำเนิดจากประเทศซาอุดิอาระเบียและยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดจากคนหรือสัตว์หรือเชื้อใด          แต่มีผลวิจัยระบุว่าอาจมีแพะเป็นพาหะนำเชื้อ และเป็นเชื้อไวรัสใกล้เคียงไวรัสในค้างคาวสายพันธุ์หนึ่ง ทั้งนี้วัสเมอร์สเป็นเชื้อไวรัสเดียวกับโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome-SARS) ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในเอเชียเมื่อปี พ.ศ. 2546

เชื้อไวรัสเมอร์ส

     โรคเมอร์ส เป็นโรคที่พบใหม่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสชนิด corona virus ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม single-stranded RNA virus ไวรัสชนิดนี้มีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์เป็นไวรัสที่ติดเชื้อ อยู่บริเวณส่วนต้นของทางเดินหายใจในคน เป็นสาเหตุอาการโรคหวัดทั่วๆไป แต่มีบางสายพันธุ์ที่ติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า เช่น อูฐ และค้างคาว เป็นต้น 
       ต่อมาไวรัสสายพันธ์นี้ได้มีการพัฒนาจนสามารถแพร่เข้ามาติดเชื้อในคนได้ โดยพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อครั้งแรกในประเทศ ซาอุอาราเบีย ในปี ค.ศ.2012 ผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น ไอ หายใจไม่สะดวก ในที่สุดอาจเสียชีวิต อาการของโรคมีความรุนแรงแตกต่างกันตั้งแต่รุนแรงมากจนถึงรุนแรงน้อย และมีประมาณร้อยละ 20 ที่ไม่แสดงอาการเลย 
      
     ความร้ายแรงของไวรัสเมอร์สคอฟ
            ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์สจะมีอาการคล้ายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมีไข้สูงไอ หายใจหอบ หายใจขัด ถ่ายเหลว หากเป็นหนักจะเสียชีวิตทันทีภายใน 3 -4 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเพศชาย โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดร้อยละ 96 มีโรคประจำตัว 1 โรคหรือมากกว่า ได้แก่เบาหวาน รองลงมาคือความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต

ประเทศที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สคอฟ
           หลังจากเริ่มมีรายงานผู้ป่วยตั้งแต่วันที่20กันยายน 2556 เป็นต้นมายังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องใน 11 ประเทศ ได้แก่ จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนีเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน และคูเวต ล่าสุดพบผู้ที่เสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไวรัสเมิร์สคอฟที่ประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซีย โดยองค์การอนามัยโลกรายงาน ณ วันที่ 16 เมษายน 2557 พบผู้ป่วยยืนยัน 238 ราย เสียชีวิต 92 ราย


แม้ว่าไวรัสเมอร์สคอฟสายพันธุ์ใหม่จะยังไม่มาถึงประเทศไทย แต่ควรรู้และป้องกันไว้ก่อนเพราะเป็นเชื้อใหม่ล่าสุดที่ยังไม่มียารักษา 
          สำนักข่าวไทย 18 มิ.ย. -กระทรวงสาธารณสุขแถลงพบผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส รายแรกในไทย เป็นชาวตะวันออกกลางในวันนี้ (18 มิ.ย.) มาทำความรู้จักกับโรคนี้เพื่อจะได้ป้องกัน หลังพบเสียชีวิตแล้วกว่า 500 คนทั่วโลก ผู้ป่วยกว่า 1,300 ราย ส่วนเกาหลีใต้ยังหยุดเชื้อไวรัสเมอร์สไม่อยู่ วันนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 3 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อยังพุ่งไม่หยุด ทำให้เกาหลีใต้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อเมอร์ส มากที่สุดถ้าไม่นับภูมิภาค
ตะวันออกกลางต้นตอของการแพร่ระบาด

                                                            
                                                        การป้องกันเบื้องต้นไวรัสเมอร์สคอฟ


1.     กินร้อน- ช้อนกลาง- ล้างมือ
2.    ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปากเมื่อจาม
3.    หลีกเลี่ยงไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด
4.    สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์
5.    หมั่นออกกำลังกายและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
6.    มาพบแพทย์พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่หากมีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย การ์ตา จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน คูเวต มาเลเซีย กรีซ และฟิลิปปินส์











     หากสงสัยว่าตนเองมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึง 2 วัน หากมีข้อสงสัย  สามารถสอบถามเพิ่มเติม โทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

         จากมูลข้างต้นจะเห็นว่า ไวรัสเมอร์สถือเป็นไวรัสที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างน่ากังวลพอสม­­­­ควร ดังนั้นช่วงเวลานี้เราจึงต้องดูแลสุขอนามัยของตัวเองเป็นอย่างดี­­­­ อย่างน้อยก็น่าจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากไวรัสเมอร์สได้บ้าง



ข้อมูลจาก:


         http://www.bpl.co.th/pweb/index.php/academic-professional/academic-articles/132middle- east-respiratory-syndrome.html
          http://www.tnamcot.com/content/212236
         http://health.kapook.com/view120467.html
         http://www.momypedia.com/article-6-35-617/ระวังไวรัสเมอร์ส-mers-cov-ระบาด-เชื้อโรคไม่มียารักษา/
         http://health.haijai.com/1392/

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์สูงสุดจาก Social Media !!!!

วิธีทำให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจาก เว็บไซต์







                                                                                       ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับเว็บไซต์กันก่อน ว่ามีที่มาหรือความหมายอย่างไร>>




           เว็บไซต์ (Website, Web site หรือ Site) หมายถึง หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้ที่ชื่อหลักจะเรียกว่า โฮมเพจเว็บไซต์โดยทั่วไปจะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี แต่ในขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จำเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการเพื่อที่จะดูข้อมูล 
         ผู้ทำเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึงระดับเว็บไซต์สำหรับธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ การเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยมเรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของ เว็บเบราว์เซอร์เว็บไซต์แห่งแรกของโลกถูกสร้างขึ้นเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2536 โดยวิศวกรของเซิร์น


       สิ่งแรกสำหรับคนที่ตัดสินใจมีเว็บไซต์คือ "ต้องการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีอยู่" เพราะเข้าใจดีว่าเว็บไซต์นั้นสามารถช่วยเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและบริการต่างๆ ของตนเองให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายได้ในต้นทุนที่ต่ำ  และหากเป็นเว็บไซต์ที่ใช้เชิงธุรกิจยิ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า หรือผู้ใช้บริการเป้าหมายได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่งด้วย



      หลายคนอาจจะมองว่าเว็บไซต์เป็นเครื่องมือที่ช่วยในงานขาย เพราะมีข้อมูลรายละเอียดในเว็บไซต์ช่วยให้ผู้ชม หรือลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยที่ผู้ขายไม่ต้องอธิบายรายละเอียดทั้งหมด แต่สำหรับผมมองว่าเว็บไซต์นอกจากจะเป็นตัวช่วยเรื่องการขายแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือทำการตลาดได้อีกด้วย

       จริงๆ แล้วการตลาดกับเว็บไซต์ เป็นเรื่องเดียวกันตั้งแต่แรก แต่เจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่เลือกที่จะเน้นการขายมากกว่า เพราะคิดว่ายอดขายคือหัวใจของธุรกิจ ซึ่งความคิดนี้ไม่ผิด แต่ถ้าเปรียบเทียบการขายเหมือนการเก็บผลไม้ ถ้าเราเอาแต่เก็บโดยไม่บำรุงรักษาให้ปุ๋ยต้นไม้ที่เราเก็บผล ในระยะยาวจะเป็นอย่างไร... การตลาดก็เหมือนกับการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้ที่เรากำลังเก็บเกี่ยวผล ถ้าเราทำไปพร้อมๆ กัน เราก็มีโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเว็บไซต์ของเราได้ยาวนานขึ้น

       การอัพเดทเนื้อหาและบทความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าลงไปในเว็บไซต์ ก็เหมือนกับการรดน้ำพรวนดินและให้ปุ๋ยต้นไม้นั่นเอง เพราะเนื้อหาและบทความที่ใส่ลงไปนั้นจะช่วยให้เว็บไซต์ของเราน่าสนใจมากขึ้นและดูไม่เน้นแต่ขายสินค้าจนเกินไป แต่ถึงแม้ว่าเว็บไซต์ของเราจะไม่ได้ขายสินค้า การอัพเดทเนื้อและบทความก็ยังมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเพราะถ้าไม่มีการอัพเดท เว็บไซต์ก็จะนิ่งไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้น่าติดตาม

      การอัพเดทเนื้อหาและบทความในเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้เว็บไซต์ทันสมัยอยู่ตลอดในสายตาของผู้ชมแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คอยจับตาการอัพเดทเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลานั่นก็คือ Search Engine (SE)  เนื่องจากเจ้า SE นี่แหละที่จะเป็นตัวช่วยเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์ของเราในระยะยาว ยิ่งมีการอัพเดทด้วยความถี่ที่สม่ำเสมอมากเท่าไร โอกาสที่เว็บไซต์ของเราจะติดอันดับดีๆ ในการค้นหาก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

      นอกจากประโยชน์ที่ได้จากการอัพเดทเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอดังกล่าวแล้ว เรายังสามารถนำเนื้อหาหรือบทความของเราแชร์ผ่านไปยัง Social Media เช่น Facebook, Twitter, Google+ หรือแม้กระทั่ง LINE ได้อีกด้วย ซึ่งการแชร์ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยให้มีคนรู้จักเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น สนใจเว็บไซต์เรามายิ่งขึ้น และจำเว็บไซต์ของเราได้ดียิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่ทำนี้ในทางการตลาดเรียกว่าการสร้างแบรนด์นั่นเอง

       ต้องยอมรับความจริงว่าในปัจจุบัน หากต้องการเพิ่มยอดผู้เข้าชม หรือต้องการเพิ่มยอดการขาย ลำพังเพียงแค่เว็บไซต์อย่างเดียวคงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเว็บไซต์ของเรามีระบบการแชร์ข้อมูลไปยัง Social Media ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นทันที เพราะ Social Media คือเครื่องมือการตลาด และเป็นจุดนัดพบระหว่างเรากับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

      เว็บไซต์ที่เราใช้อยู่รองรับการแสดงผลบนมือถือหรือไม่ และ เว็บไซต์ที่เราใช้อยู่นั้นมีระบบการแชร์ไปยัง Social Media หรือเปล่าโดยเฉพาะ Facebook กับ LINE ถ้ายังหาทางเปลี่ยนใหม่ให้เร็วที่สุดเพราะปัจจุบันมีการใช้มือถือเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตกว่า 80% แล้ว





       ดังนั้นการที่เราจะได้ประโยชน์สูงสุดจากเว็บไซต์ สิ่งที่เราจะต้องทำก่อนคือการทำให้เว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาที่น่าสนใจ และต้องมีการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็แชร์ออกไปยัง Social Media ที่เรามีอยู่ทั้งหมด ซึ่งตัวเลขการใช้ Social Media ที่น่าสนใจคือ Facebook (มียอดผู้ใช้ 35 ล้าน Account) และ LINE (มียอดผู้ใช้ 33 ล้าน Account) ส่วน Social Media ตัวอื่นก็น่าสนใจเช่นกันเช่น Google+ และ Twitter เป็นต้น

Cr.http://prthai.com/articledetail.asp?kid=11444
     https://www.google.co.th/search?q=ธุรกิจออนไลน์&biw
     https://th.wikipedia.org/wiki/เว็บไซต์
     https://www.google.co.th/?gws_rd=cr&ei=rLU9VanBBNOPuATV3YHoCQ#q=social+media
     http://linemarkets.blogspot.com/2014/06/blog-post.html

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่ 4


แบบฝึกหัด

บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ                 กลุ่มเรียนที่ 4
 รหัสวิชา  0026008
 นายกิตติ สกุลจันทร์เรือง รหัส53010514003

1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อ ละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
                USB flash drive
                DVD
                MEMORY STICK

2) การแสดงผล
              LASER PRINTER

              SPEAKER
              LCD MONITOR

3) การประมวลผล
              -ซีพียู (CPU)
               -หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว
               -หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access -Memory - RAM) 


4) การสื่อสารเเละเครือข่าย

             1.เครือข่ายแบบดาว (Star topology) เป็นการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด โดยสถานีทุกสถานีในเครือข่ายจะต่อเข้ากับหน่วยสลับสายกลางแบบจุดต่อจุด การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆ ที่ต้องการติดต่อกัน

              2.เครือข่ายแบบบัส เป็นรูปแบบที่มีผู้นิยมใช้มากแบบหนึ่ง เพราะมีโครงสร้างไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้อุปกรณ์สลับสาย การเชื่อมต่อมาลักษณะเป็น การเชื่อมต่อแบบหลายจุด สถานีทุกสถานีรวมทั้งอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่าย จะเชื่อมต่อเข้ากับสายสื่อสารหลักเพียงสายเดียวเรียกว่า แบ็กโบน (Backbone) การจัดส่งข้อมูลลงบนบัส จึงสามารถทำให้การส่งข้อมูลไปถึงทุกสถานีได้ผ่านสายแบ็กโบนนี้ โดยการจัดส่งวิธีนี้ต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน โดยวิธีการที่ใช้อาจเป็นการแบ่งช่วงเวลา หรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่สัญญาณที่แตกต่างกัน 

          3.เครือข่ายแบบวงแหวน (ring topology) เป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดเช่นเดียวกับแบบดาว โดยสถานีแต่ละสถานีจะต่อกับสถานีที่อยู่ติดทั้งสองข้างของตนเอง และทุกสถานีมีเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง โดยจะมีการเชื่อมโยงเครื่องขยายสัญญาณของแต่ละสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน สัญญาณข้อมูลจะส่งอยู่ในวงแหวนแบบจุดต่อจุดไปในทิศทางเดียวกัน จนถึงผู้รับภายในเวลาที่กำหนด โดยเครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง หรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้า และส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อย ๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น จึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป อีกทั้งสามารถตรวจสอบความผิดพลาดในการส่งด้วย โดยกรณีที่ เครื่องรับปลายทางไม่ได้รับสัญญาณข้อมูลในเวลาที่กำหนด จะมีการแจ้งว่า เกิดความผิดพลาดในเครือข่ายได้อุปกรณ์เครือข่ายฮับ

2.ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความที่สัมพันธ์กัน




…8… ซอฟต์แวร์ประยุกต์
1. ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล
…6… Information
Technology
2. e-Revenue
…1… คอมพิวเตอร์ในยุค
ประมวลผลข้อมูล
3. เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้
…3…เทคโนโลยีสารสนเทศ
ประกอบด้วย
4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และDecoder
…10…ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการททำงาน
5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย
…7… ซอฟต์แวร์ระบบ
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
…9… การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดีย ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
7. โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์
…5… EDI
8. โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท
…4… การสื่อสาร
โทรคมนาคม
9. CAI
…2…บริการชำระภาษี
ออนไลน์
10. ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
  















วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่ 3

แบบฝึกหัด

บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ                              กลุ่มเรียน 4
รายวิชา  การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน
รหัสวิชา  0026008
ชื่อนายกิตติ สกุลจันทร์เรือง รหัส53010514003


คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ

  ก. ความสามารถในการกลั่นกลอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้
  ข. ความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ  
  ค. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ 
 ง. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งาน                 สารสนเทศ
   2. จากกระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด    
ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ    
ข. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ    
ค. ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
ง. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ


3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
ก. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้    
ข. สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
ค. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
ง. ใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศได้


4.ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ    ก. โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
    ข. ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
    ค. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
    ง. ช่วยบุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง  
1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ  
2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ  
3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างประสิทธิภาพ 
4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ


 ก. 1-2-3-4-5                 ข. 2-4-5-3-1   

 ค. 5-4-1-2-3              ง. 4-3-5-1-2

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่ 2

แบบฝึกหัดบทที่ 2


ชื่อนายกิตติ สกุล จันทร์เรือง รหัส53010514003
รหัสวิชา 0026 008  กลุ่มเรียนที่ 4

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่าง ๆ ตาม         หัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ
1.1  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา

1.2  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน

      2. http://wwwfourzeesuncom.blogspot.com/2011/01/blog-
          post_27.html                                                      
1.3  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน

        3. http://www.thaitv3.com/

1.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม

1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์

        3. http://www.mnrh.go.th/

1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ

     3. http://www.bot.or.th

1.7  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม

1.8  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม

1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่าง ๆ
2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง

        2. http://dorm.msu.ac.th/home/
3. ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง


     เเน่นอนเว็บไซต้ดังกล่าวมีประโญชน์ที่เเตกต่างกันอย่างเว็บไซต์เเรกเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียน ดูผลการเรียน นี้คงเป็นประโยชน์หลักๆที่เราได้รับสำหรับเว็บไซต์มหาลัยเเน่นอนทำให้เราทราบข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับมหาลัยบุคคลากรต่างๆสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราควรรู้เนื่องจากเราอยู่ทีนี้เเละมันจะเป็นประโญชน์อย่างมากเพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเว็บไซตืต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งใกล้ตัวที่เราจะสามารถศึกษาหรือใช้งานจากมันได้ง่ายที่สุด ทำให้เราสามรถรับข้อมูลข่าวสารของทางมหาลัยได้ง่าย เเละรวดเร็วเทคโนโ,ยีดังกล่าวจึงมีประโยชน์ต่อเราอย่างมาก